โรคไซนัส หาย ? ไม่หาย ? (Paranasal Sinuses)

 

ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

   


ไซนัสคืออะไร อยู่ที่ไหน ?
ไซนัส (Paranasal Sinuses) เป็นโพรงอากาศบริเวณใบหน้าและฐานของกระโหลกศีรษะที่มีรูเปิด (ostium) ติดต่อกับช่องจมูก ภายในไซนัสมีเยื่อบาง ๆ (mucosa) บุอยู่แบบเดียวกับเยื่อบุในช่องปาก เยื่อบุบาง ๆ นี้ต่อเป็นผืนเดียวกันกับเยื่อบุภายในช่องจมูกและปาก ไซนัสมีอยู่ 4 ที่ด้วยกันคือ

Maxillary Sinus อยู่ภายในโพรงกระดูกแก้มทั้งสองข้าง เป็นไซนัสที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และก่อให้เกิดปัญหาบ่อยที่สุด
Ethmoid Sinus เป็นโพรงอากาศที่อยู่ในกระดูก ethmoid อยู่ระหว่างส่วนบนของสันจมูกกับหัวตาทั้งสองข้าง ไซนัสนี้มีลักษณะ

Ethmoid Sinus เป็นโพรงอากาศที่อยู่ในกระดูก ethmoid อยู่ระหว่างส่วนบนของสันจมูกกับหัวตาทั้งสองข้าง ไซนัสนี้มีลักษณะคล้ายรังบวบ แต่ละข้างมีหลายไซนัสด้วยกัน แบ่งออกเป็นไซนัสที่อยู่ด้านหน้าและทางด้านหลังโดยมีรูเปิดเข้าสู่จมูกคนละ ส่วนกัน

Frontal Sinus เป็นโพรงอากาศที่อยู่ในกระดูกหน้าผาก ส่วนใหญ่จะมีสองข้าง ถ้ามีข้างเดียวหรือไม่มีเลยก็ไม่ถือเป็นสิ่งผิดปกติ ในเด็กเล็กไซนัสนี้ยังไม่มีการเจริญเติบโต ขนาดของไซนัสอาจแตกต่างกันมากในแต่ละคน ไซนัสนี้เมื่อมีอาการติดเชื้อเกิดขึ้น อาจทำให้ผิวหนังบริเวณหน้าผากบวมแดงและโป่งพองออกมา หรือทะลุเข้าไปข้างในทำให้เยื่อหุ้มสมองจนถึงสมองอักเสบได้

Sphenoid Sinus อยู่ใต้ฐานกระโหลกศีรษะในกระดูก Sphenoid ไซนัสนี้ปกติมีสองข้าง ขนาดของแต่ละข้างอาจไม่เท่ากัน ถ้าไซนัสนี้ติดเชื้อจะมีอาการรุนแรงถึงขั้นทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้

ไซนัสอักเสบ หรือที่ชอบใช้ว่า ‘เป็นไซนัส’ นั้นหมายถึงอะไร ?
ไซนัส อักเสบ หมายถึงโรคหรือภาวะที่มีการอักเสบของเยื่อบุภายในไซนัสที่เกิดจากการติด เชื้อหรือภูมิแพ้ ทำให้เยื่อบุภายในไซนัสและช่องจมูกบวมและเกิดการอุดตันที่รูเปิดของไซนัส

ทำไมถึงเป็นไซนัส ? และไซนัสอักเสบเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
เมื่อ เป็นหวัด ไข้หวัดใหญ่ จะทำให้เกิดการบวมของเยื่อบุภายในช่องจมูกและไซนัส รูเปิดที่ติดต่อระหว่างจมูกกับไซนัสตีบตัน ถ้าการบวมของเยื่อภายในช่องจมูกและไซนัสหายสนิทภายใน 7 – 10 วัน ก็ไม่เกิดปัญหาเกี่ยวกับไซนัส แต่ถ้าไม่หายสนิท 0.5 – 10 เปอร์เซ็นต์ก็อาจทำให้เป็นไซนัสอักเสบได้

โรค ภูมิแพ้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคไซนัสได้ เพราะภูมแพ้ทำให้เยื่อบุภายในช่องจมูกและไซนัสบวม เป็น ๆ หาย ๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้นี้นับวันจะเพิ่มมากขึ้น เพราะสิ่งแวดล้อมที่สกปรกและการเปลี่ยนแปลงของอากาศที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว

ความ ผิดปกติภายในช่องจมูก ซึ่งอาจมองเห็นได้จากภายนอกหรือการตรวจภายในช่องจมูก ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้อากาศถ่ายเทภายในช่องจมูกผิดไปจากปกติ ทำให้เกิดการอุดตันของรูเปิดไซนัสและสร้างปัญหาไซนัสอักเสบตามมาได้

ฟัน ผุ โดยเฉพาะฟันบนซี่ใน ๆ การติดเชื้อที่รากฟันดังกล่าวจะเข้าสู่ไซนัสบริเวณแก้มได้ง่าย เพราะกระดูกที่คั่นระหว่างรากฟันกับไซนัสบางมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูง อายุ มักเป็นที่ไซนัสข้างเดียว น้ำมูก เสมหะ และการหายใจอาจมีกลิ่นเหม็น ไซนัสอักเสบที่มีสาเหตุมาจากฟันผุมักจะเป็นฟันซี่ใดซี่หนึ่งเท่านั้น ซึ่งจะแตกต่างจากการปวดฟันบนที่มีสาเหตุจากไซนัสอักเสบ เพราะกลุ่มหลังนี้จะทำให้เกิดการปวดฟันบนซี่ใน ๆ หลายซี่ด้วยกันทั้งที่ไม่มีฟันผุา

การติดเชื้อในกระแสโลหิต ก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดการติดเชื้อภายในไซนัสได้ แต่ในปัจจุบันพบได้น้อยมาก

สิ่ง แปลกปลอมที่เด็กที่ชอบเอาใส่เข้าไปในช่องจมูก เช่น ยางลบ ลูกปัด เม็ดน้อยหน่า เม็ดละมุด ฯลฯ ทำให้มีอาการคัดจมูกข้างเดียว น้ำมูกเหม็น ถ้าไม่ได้เอาสิ่งแปลกปลอมนี้ออกภายในเวลาอันควร ก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดไซนัสอักเสบได้

อาการของไซนัสอักเสบ
โดย ปกติ ผู้คนมักเข้าใจว่าถ้าเป็นไซนัสอักเสบเรื้อรังจะต้องมีอาการมึนศีรษะ ปวดบริเวณโหนกแก้ม ใต้ตา รอบ ๆ ตา ขมับ กลางศีรษะ หรือท้ายทอย ร่วมกับคัดจมูกน้ำมูกไหล ทำให้หลงผิดไปว่าตนเองไม่ได้เป็นไซนัสถ้าไม่มีอาการดังกล่าว มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่เป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง แต่มีอาการเพียงแค่ ไอเรื้อรัง เสมหะไหลลงคอ เจ็บคอบ่อย บางครั้งไม่มีอาการปวดศีรษะเลยหรือถ้ามีก็แค่มึนศีรษะ ง่วงเหงาหาวนอน และมีน้ำมูกไหลร่วมกับคัดจมูก เป็น ๆ หาย ๆ ได้กลิ่นน้อยลง หายใจมีกลิ่นเหม็น ทำให้ผู้ป่วยหลงนึกไปว่าตนเองเป็นเพียงหวัดเรื้อรังเท่านั้น

ผู้ป่วยไซนัสอักเสบบางรายมาพบแพทย์ด้วยอาการหูตึง ได้ยินน้อยลง หรือมีเสียงก้องในหู

อาการ อื่น ๆ ที่บ่งชี้ไซนัสอักเสบเรื้อรังก็คือ อาการปวดฟัน โดยเฉพาะฟันบนซี่ใน ๆ ที่มักปวดพร้อมกันหลาย ๆ ซี่ทั้งที่ไม่มีฟันผุ ซึ่งต่างจากอาการปวดฟันที่เกิดจากฟันผุที่มักปวดฟันบนซี่ใดซี่หนึ่งเท่านั้น

นอก เหนือจากอาการดังกล่าวข้างต้นถ้าผู้ป่วยมีอาการอื่น ๆ เช่น บวมแดงบริเวณหน้าผาก ตา ตาพร่า เห็นภาพซ้อน ปวดศีรษะอย่างรุนแรง อาเจียน ก็อาจเป็นอาการของโรคแทรกซ้อนจากไซนัสอักเสบได้

ส่วน ไซนัสอักเสบชนิดเฉียบพลันจะมีอาการคล้ายไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ร่วมกับอาการปวดและเจ็บเมื่อกดบริเวณใบหน้าและบริเวณที่ไซนัสตั้งอยู่ หรือปวดที่กลางศีรษะ ท้ายทอย และขมับ ไซนัสอักเสบชนิดนี้ถ้าได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องจะหายไปภายใน 4 สัปดาห์ แต่ถ้าไม่หายและมีอาการต่อเนื่องนานกว่า 12 สัปดาห์ ก็จัดว่าเป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง

การตรวจผู้ป่วยที่เป็นไซนัสอักเสบ

1. ดูบริเวณหน้า และส่วนที่ไซนัสตั้งอยู่ อาจบวมแดงและหรือมีอาการเจ็บเมื่อกด
2. ตรวจจมูกโดยใช้เครื่องถ่างจมูก หรือกล้องส่อง จะพบความผิดปกติในช่องจมูกโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ใกล้ชิดกับรูเปิดของ ไซนัส และอาจพบว่ามีน้ำมูกคั่งอยู่ในบริเวณดังกล่าว
3. การตรวจเพิ่มเติมโดยไม่สิ้นเปลืองก็คือ การตรวจส่วนหลังของช่องจมูก (nasopharynx)
4. การใช้ลำแสงส่องไปบริเวณที่ไซนัสตั้งอยู่ (transillumination) ซึ่งมีประโยชน์เฉพาะไซนัสที่กระดูกแก้มและหน้าผากเท่านั้น
5. การตรวจพิเศษที่สมควรและต้องทำในผู้ป่วยทุกรายก็คือ การเอ็กซเรย์ไซนัส 2 ท่าด้วยกันในกรณีต้องการประหยัด แต่ถ้าต้องการดูรายละเอียดครบทั้ง 4 ไซนัสก็ต้องเอ็กซเรย์ 4 ท่าและใช้ฟิลม์ 2 แผ่น การเอ็กซเรย์ไซนัสต้องใช้ท่าที่ถูกต้อง ถ้าทำไม่ถูกท่าไปเอ็กซเรย์กระโหลกศีรษะก็จะได้ข้อมูลไม่ชัดเจน

6. การเพาะเชื้อจากบริเวณใกล้เคียงกับรูเปิดของไซนัสหรือจากหนองที่ได้จากการล้างหรือดูดไซนัส
7. การตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ จะจำเป็นเฉพาะกรณีที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นก่อนทำผ่าตัดและสำหรับ ผู้ป่วยที่คิดว่ามีโรคแทรกซ้อน ส่วน MRI โดยใช้คลื่นสนามแม่เหล็กนั้นสิ้นเปลืองมากแต่ประโยชน์ไม่คุ้มค่า ในเด็กเล็กถ้าจะทำ MRI ต้องใช้ยาสลบด้วย
8. Ultrasound ไม่ควรใช้ เพราะไม่มีความแม่นยำและไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม

การรักษาโรคไซนัสอักเสบ

คำถามยอดฮิตที่แพทย์ถูกถามอยู่เป็นประจำก็คือ
หนึ่ง โรคไซนัสอักเสบเรื้อรังรักษาแล้วจะหายไหม ?
สอง รักษาแล้วหายสนิทไหม ?

คำตอบข้อแรกก็คือ รักษาหายได้แน่
คำตอบข้อหลังคือ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำเพื่อสร้างเสริมสุขภาพของผู้ป่วยและการ รักษาของแพทย์ ฉะนั้นจึงมีโอกาสที่ผู้ป่วยหายและไม่กลับมาเป็นไซนัสอีก

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยไซนัสอักเสบเรื้อรัง
1. ต้องออกกำลังกายเป็นประจำ อย่าอ้างว่าไม่มีเวลา
2. ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ
3. ต้องอยู่ในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเท ไม่มีฝุ่นละออง ไม่มีเกสรดอกไม้ที่แพ้ หลีกเลี่ยงควันพิษและกลิ่นที่ผิดปกติ
4. อย่าให้ร่างกายต้องปรับเปลี่ยนอุณหภูมิอย่างรวดเร็วเกินไป เช่น การเข้า ๆ ออก ๆ ห้องปรับอากาศ รถยนต์ที่ตากแดดร้อน ๆ เป็นต้น
5. หลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยไซนัสอักเสบ เช่น ฝุ่นละออง ไรฝุ่นในที่นอน ขนแมว พรมในห้องนอน และอื่น ๆ ส่วนเครื่องสำอางค์ อาหารก็มีส่วนทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้
6. สุรา เบียร์ ไวน์ และเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีแอลกอฮอล ทำให้เยื่อบุช่องจมูกและไซนัสบวมและรูเปิดของไซนัสอุดตัน
7. ขณะที่มีการติดเชื้อภายในช่องจมูก ไม่สมควรว่ายน้ำ ดำน้ำ หรือกระโดดน้ำ

1. การรักษาโดยใช้ยา
ยาต้านจุลชีพ จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยที่เป็นไซนัสอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อ แบคทีเรีย ส่วนต้นเหตุที่เกิดจากเชื้อราซึ่งพบน้อยมากก็ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อรา แต่พวกที่มีสาเหตุจากไวรัสไม่จำเป็นต้องใช้ การใช้ยาต้านจุลชีพควรเลือกกลุ่มที่ 1 ที่เป็นยาสามัญใช้กันทั่วไปซึ่งได้มีการใช้ติดต่อกันมานานแล้วและมีผลข้าง เคียงน้อยที่สุด ยาต้านจุลชีพกลุ่มนี้มีราคาไม่สูงเกินไปนัก สามารถรักษาโรคให้หายได้ถ้าใช้อย่างถูกต้องในระยะเวลาที่นานพอสมควร (10 – 14 วัน เป็นอย่างน้อย)
ส่วนยาต้านจุลชีพชนิดใหม่กลุ่มที่ 2 – 3 มีราคาค่อนข้างสูงและผลข้างเคียงระยะยาวยังประเมินไม่ได้ แต่ก็จำเป็นต้องใช้ในกรณีที่เชื้อโรคดื้อยา หรือในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการของไซนัสอักเสบรุนแรงมากตั้งแต่แรกก็จำเป็นต้อง เลือกใช้ยากลุ่มนี้ทันทีเลย

ยา ต้านฮิสตามีน ควรใช้กับไซนัสอักเสบที่มีสาเหตุจากภูมิแพ้ แต่ถึงไม่แน่ใจว่าเกิดจากภูมิแพ้ด้วยหรือไม่การใช้ยากลุ่มนี้ก็คงไม่ผิดกติ กา ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มที่ 2 ไม่อยู่ในสิทธิบัตรยาของบริษัทผู้ผลิตจึงมีราคาไม่แพงและใช้ได้ผลดี ผลข้างเคียงก็น้อย ส่วนยาต้านฮิสตามีนกลุ่มที่ 3 มีราคาแพงมากเพราะยังอยู่ในสิทธิบัตรยาของบริษัทผู้ผลิต ผลการรักษาอาจไม่ดีกว่ายากลุ่มที่ 2 มากนัก แต่ยาต้านฮิสตามีนกลุ่มที่ 1 ซึ่งใช้ติดต่อกันมานานหลายสิบปีนั้นมีผลข้างเคียงพอสมควร แม้ราคาจะถูกมากแต่ก็ให้ใช้ด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ ป่วยต้องทำงานที่มีความเสี่ยงเกี่ยวกับเครื่องจักร เครื่องยนต์ ขับรถ เพราะยากลุ่มนี้ทำให้ง่วงนอน น้ำมูกเหนียว และอาการอื่น ๆ ที่เกิดจากฤทธิ์ข้างเคียงของยา
ยาพ่นจมูกที่มีส่วนประกอบของ Corticosteroids ขณะนี้เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ยาพ่นจมูกชนิดนี้ให้ผลช้า มีราคาแพง แต่ยังไม่ค่อยพบผลข้างเคียงแม้จะใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ส่วนยาพ่นจมูกที่มีส่วนผสมของยาที่ทำให้หายคัดจมูก จะมีผลทันทีทำให้หายคัดจมูก แต่ถ้าใช้ติดต่อกันนานเกิน 3 – 7 วัน ก็อาจทำลายเยื่อบุจมูก เยื่อบุจมูกที่ถูกทำลายไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาทำหน้าที่อย่างปกติได้อีก
ยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของยาลดน้ำมูก (Decongestant) แพทย์ หู คอ จมูก ส่วนใหญ่ใช้น้อยลงในปัจจุบัน แม้ว่าจะเคยนิยมใช้ติดต่อกันมานานหลายสิบปีแล้วก็ตาม
ยาลดการอักเสบ การบวม กลุ่ม NSAIDS ไม่แนะนำให้ใช้ เพราะมีผลข้างเคียงเป็นอันตรายมากกว่าประโยชน์ที่ได้
การใช้น้ำเกลือล้างจมูก น่าจะมีผลดีเฉพาะเยื่อบุภายในช่องจมูกเท่านั้น แต่คงไม่สามารถเข้าไปถึงในไซนัสได้

การ รักษาด้วยวิธีสูดไอน้ำร้อน น่าจะช่วยลดอาการบวมของเยื่อบุจมูก ในสมัยที่ผู้เขียนเป็นเด็กเมื่อ 70 ปี ที่แล้ว เวลาเป็นหวัด ผู้ใหญ่มักจะให้รมไอน้ำที่ใส่หัวหอมแดงลงไปด้วย เข้าใจว่าคงมีประโยชน์อยู่เหมือนกัน

2. การรักษาโดยการล้างไซนัสที่โพรงกระดูกแก้ม (Maxillary Sinus)
การใช้น้ำเกลือล้างไซนัสโดยผ่านทางรูเปิดธรรมชาติที่ผนังด้านข้างของช่องจมูกส่วนกลาง (the Middle meatus)
การรักษาวิธีนี้ทำโดยใช้เครื่องมือสำหรับล้างไซนัส (Canula ปลายทู่โค้ง) ใส่ทางจมูกผ่านทางรูเปิดธรรมชาติเข้าไปในไซนัส ถ้าแพทย์มีความชำนาญจะใช้เวลาน้อยมาก ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักไม่เจ็บปวด ไม่มีเลือดออก ผู้เขียนได้นำวิธีนี้มาจาก Professor Van Alyea แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา มาใช้รักษาผู้ป่วยที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตั้งแต่ปี 2507 จากการติดตามผู้ป่วยส่วนหนึ่งที่มาพบหลังการรักษา 30 ปี หรือมากกว่า พบว่าหลังจากล้างไซนัสไปแล้วก็หายเป็นปกติ การล้างไซนัสวิธีนี้ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติเข้าไปในหูและ หรือเจ็บจมูกในขณะที่ล้างไซนัส แต่ความรู้สึกผิดปกตินี้จะหายไปหลังจากที่ล้างไซนัสเสร็จไม่นาน
การใช้น้ำเกลือล้างไซนัสโดยผ่านทางกระดูกด้านข้างของช่องจมูกส่วนล่าง (Inferior meatus) วิธีนี้ต้องใช้เข็ม (Trocar) เจาะผ่านกระดูกด้านข้างของช่องจมูกส่วนล่าง ผู้ป่วยอาจเจ็บมากและมีเลือดไหลหากกระดูกบริเวณดังกล่าวหนามากกว่าปกติ การรักษาวิธีนี้จึงไม่สามารถทำได้ในเด็ก
การใช้น้ำเกลือล้างไซนัสผ่านกระดูกแก้มทางด้านหน้า โดยใช้ Trocar ตอกทะลุผ่านกระดูกแก้มทางด้านหน้าซึ่งมักทำร่วมกับการส่องกล้องผ่าน Trocar เข้าไปดูพยาธิสภาพภายในไซนัส

ด้วย วิธีนี้ผู้เขียนไม่มีประสบการณ์ แต่ได้รับข้อมูลจากผู้ป่วยบางรายบอกว่าค่อนข้างเจ็บมากและน่ากลัว
เรื่องของการล้างไซนัสทางรูเปิดธรรมชาติ (ข้อ 2.) และการดูดไซนัส (ข้อ 3.) แม้ได้ผลดี แต่ปัจจุบันมีแพทย์ หู คอ จมูกทำกันในวงจำกัด เพราะส่วนใหญ่มักข้ามขั้นตอนไปรักษาโดยการผ่าตัดไปเลย

3. การดูดไซนัส (Proetz’s Displacement)
มีประโยชน์มากในเด็กเล็กที่เป็นไซนัสอักเสบบริเวณกระดูก Ethmoid และ Maxilla แม้ผลการรักษาจะดีและสิ้นเปลืองน้อยแต่ปัจจุบันไม่เป็นที่แพร่หลายนัก แพทย์ทางโสต ศอ นาสิก ที่รักษาด้วยวิธีนี้เกือบทั้งหมดได้รับการฝึกอบรมจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ป่วยเด็กหลายรายที่หายจากโรคไซนัสอักเสบโดยการรักษาวิธีนี้ เมื่อเป็นไซนัสอีก ตัวเด็กเองเป็นผู้ขอให้ผู้เขียนดูดไซนัสให้ใหม่อีกครั้ง

4. การรักษาโดยการผ่าตัด
การผ่าตัดที่ไซนัสในปัจจุบัน ที่ทำกันอย่างแพร่หลายคือ Fess หรือ Ess การผ่าตัดวิธีนี้นี้ต้องใช้กล้องส่องร่วมกับเครื่องมือนำเข้าราคาแพง หลักการก็คือ ขยายรูเปิดธรรมชาติของไซนัสให้กว้างขึ้น ร่วมกับเอาเนื้อเยื่อและกระดูกที่มีพยาธิสภาพออกมา ก่อนทำผ่าตัดต้องส่งผู้ป่วยไปเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร
์เพื่อใช้เป็นแนวทางในการผ่าตัดเพื่อลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น การผ่าตัดวิธีนี้จึงค่อนข้างสิ้นเปลือง
การผ่าตัดที่ไซนัสแบบดั้งเดิม Caldwell Luc, External Ethmoidectomy และ Frontal sinus operation ก็ยังมีผู้ทำอยู่ ส่วนการผ่าตัด Sphenoid sinus ซึ่งอยู่ค่อนข้างลึกถ้าใช้กล้องจะทำได้ละเอียดมากกว่าและมีผลข้างเคียงน้อย
การผ่าตัดภายในช่องจมูก เพื่อแก้สาเหตุที่ทำให้เกิดไซนัสอักเสบ เช่น การตัดริดสีดวงจมูก (Polypectomy) การแก้ไขความผิดปกติของ
แผ่นกั้นช่องจมูก (Septoplasty) การแก้ไขความผิดปกติภายในช่องจมูก (Infracture of Middle turbinate and Outfracture of Inferior turbinate)
การผ่าตัดต่อม Adenoid และต่อม Tonsil ที่อาจเป็นต้นเหตุของไซนัสอักเสบ

5. การบรรเทาอาการคัดจมูกโดยใช้เครื่องมือทางการแพทย์อื่น ๆ
เช่น Microdebrider, Electric Cautery, Radio Frequency ก็มีรายงานไว้ในวารสารทางการแพทย์

Last update: 16 เมษายน 2552