ผศ.นพ. ปารยะ อาศนะเสน
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
เสียงดังในหู เป็นความผิดปกติทางหูที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์ เพราะกลัวว่าจะเป็นอันตรายกับผู้ป่วยหรือไม่ หรือเพราะรำคาญทำให้นอนหลับยาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะได้ยินเสียงดังนี้ เฉพาะตัวผู้ป่วยเอง ผู้อื่นไม่ได้ยินเสียงนี้ด้วย ผู้ป่วยมักบอกว่า เสียงดังในหูนั้น คล้ายเสียงจักจั่น หรือจิ้งหรีดร้องอยู่ภายใน อาจเป็นเสียงหึ่งๆ วิ๊งๆ หรือซ่าๆ มักเกิดเฉพาะข้างใดข้างหนึ่ง แต่เกิดทั้ง 2 ข้างได้ มักได้ยินชัดขึ้นในเวลากลางคืน หรืออยู่ในที่ที่เงียบ ผู้ป่วยอาจมีเสียงดังในหูอย่างเดียว หรือมีอาการอื่นๆ เช่น หูอื้อ ปวดหู เวียนศีรษะ บ้านหมุน ร่วมด้วยได้
คนปกติธรรมดาสามารถได้ยินเสียงดังในหูนี้ได้ ถ้าอยู่ในที่เงียบสงัด หรือถ้ามีพยาธิสภาพของหูชั้นนอก เช่น มีขี้หูอุดตันช่องหูชั้นนอก ซึ่งถือว่าปกติ เพราะเมื่อไปอยู่ในที่ปกติ จะมีเสียงดังจากสิ่งแวดล้อมกลบเสียงดังในหูตามธรรมชาตินี้
เสียงดังในหู แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
- เสียงดังในหูชนิดที่ได้ยินเฉพาะตัวผู้ป่วย หรือเสียงที่มีการรับรู้ผิดปกติ โดยที่ไม่มีเสียงเกิดขึ้นจริง (subjective tinnitus) เป็นเสียงดังในหูประเภทที่พบบ่อยที่สุด
สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของ
- หูชั้นนอก เช่น ขี้หูอุดตัน, เยื่อแก้วหูทะลุ, หูชั้นนอกอักเสบ, เนื้องอกของหูชั้นนอก
- หูชั้นกลาง เช่น หูชั้นกลางอักเสบ, น้ำขังอยู่ในหูชั้นกลาง (otitis media with effusion) เนื่องจากท่อยูสเตเซียน (ท่อที่เชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกลางและโพรงหลังจมูก) ทำงานผิดปกติ, โรคหินปูนในหูชั้นกลาง (otosclerosis)
- หูชั้นใน สาเหตุที่พบได้บ่อยสุด คือ ประสาทหูเสื่อมจากอายุ นอกจากนั้น การเสื่อมของเส้นประสาทหู อาจเกิดจาก การได้รับเสียงที่ดังมากๆในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้เส้นประสาทหูเสื่อมเฉียบพลัน (acoustic trauma) เช่นได้ยินเสียงปืน เสียงระเบิด หรือเสียงประทัด, การได้รับเสียงที่ดังปานกลางในระยะเวลานานๆ ทำให้ประสาทหูเสื่อมแบบค่อยเป็นค่อยไป (noise-induced hearing loss) เช่นอยู่ในโรงงาน หรือยู่ในคอนเสิร์ตที่มีเสียงดังมากๆ, การใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู (ototoxic drug) เป็นระยะเวลานาน เช่น salicylate, aminoglycoside, quinine, aspirin, การบาดเจ็บของกะโหลกศีรษะ แล้วมีผลกระทบกระเทือนต่อหูชั้นใน (labyrinthine concussion), การติดเชื้อของหูชั้นใน (labyrinthitis) เช่น จากซิฟิลิส หรือไวรัสเอดส์, การผ่าตัดหูแล้วมีการกระทบกระเทือนต่อหูชั้นใน, มีรูรั่วติดต่อระหว่างหูชั้นกลาง และหูชั้นใน (perilymphatic fistula), โรคมีเนีย (Meniere’s syndrome) หรือน้ำในหูไม่เท่ากัน
- สมอง โรคของเส้นเลือด เช่น เส้นเลือดในสมองตีบ, เลือดออกในสมอง จากไขมันในเลือดสูง, ความดันโลหิตสูง, เนื้องอกในสมอง เช่น เนื้องอกของเส้นประสาทหู และ/หรือ ประสาทการทรงตัว (acoustic neuroma)
- สาเหตุอื่นๆ เช่น โรคโลหิตจาง, โรคแพ้ภูมิตัวเอง (autoimmune disease), โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว, โรคเกล็ดเลือดสูงผิดปกติ, โรคที่มีระดับยูริกในเลือดสูง, โรคไต, โรคเบาหวาน, ความดันโลหิตต่ำ โรคเหล่านี้สามารถทำให้เกิดเสียงดังในหูได้
- เสียงดังในหูชนิดที่บุคคลภายนอกสามารถได้ยิน หรือเสียงที่มีแหล่งกำเนิดเสียงจริงอยู่ภายในร่างกายของผู้ที่ได้ยิน (objective tinnitus) เสียงดังในหูชนิดนี้ ได้แก่ ความผิดปกติของหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดแดงมีการเชื่อมต่อที่ผิดปกติ กับหลอดเลือดดำ (arteriovenous malformation) หรือเส้นเลือดวางอยู่ในตำแหน่งผิดปกติ หรือเส้นเลือดแดงโป่งพอง (aneurysm) บริเวณศีรษะและคอ ที่อยู่ใกล้ชิดกับหูชั้นนอก, หูชั้นกลาง หรือหูชั้นใน แม้แต่ในสมองเอง เสียงที่เกิดขึ้น อาจเกิดพร้อมจังหวะการเต้นของหัวใจ หรือดังขึ้นเมื่อออกกำลังกาย อาจได้ยิน เมื่ออยู่ใกล้ผู้ป่วย หรือใช้เครื่องมือช่วยฟัง เสียงดังในหูที่เกิดจากการหายใจเข้า หรือออก อาจเกิดจากความผิดปกติของท่อยูสเตเชียน ซึ่งเป็นท่อที่เชื่อมระหว่างหูชั้นกลาง และโพรงหลังจมูก
การวินิจฉัย อาศัยการซักประวัติ สาเหตุต่างๆที่เป็นไปได้ ที่ทำให้เกิดเสียงดังในหู, การตรวจหู และบริเวณรอบหู, การวัดความดัน ท่านอน ท่านั่ง และท่ายืน, การตรวจเลือด เพื่อหาความผิดปกติของเคมีในเลือด, การตรวจปัสสาวะ, การตรวจการได้ยิน, การตรวจคลื่นสมองระดับก้านสมอง และการถ่ายภาพรังสี เช่น เอ็กซ์เรย์ คอมพิวเตอร์สมอง หรือกระดูกหลังหู หรือตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือฉีดสารรังสีเข้าหลอดเลือด
การรักษา
การรักษาเสียงดังในหูนั้น รักษาตามสาเหตุ ซึ่งแบ่งเป็นการรักษาด้วยยา และการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม เสียงดังในหูที่เกิดจากพยาธิสภาพของหูชั้นใน, เส้นประสาทหู, และระบบประสาทส่วนกลาง โดยเฉพาะประสาทหูเสื่อม มักจะรักษาไม่หายขาด ยกเว้นสาเหตุดังกล่าว เป็นสาเหตุที่รักษาได้ นอกจากนั้นถ้าเกิดจากประสาทหูเสื่อม ควรหาสาเหตุ หรือปัจจัยที่จะทำให้หูเสื่อมเร็วกว่าผิดปกติ เพื่อหาทางชะลอความเสื่อมนั้นด้วย ส่วนเสียงดังในหูบางรายไม่ทราบสาเหตุ หรือทราบสาเหตุ แต่เป็นสาเหตุที่รักษาไม่ได้ อาจหายเองก็ได้ หรือจะมีอยู่ตลอดชีวิตก็ได้
- ควรอธิบายให้ผู้ป่วยยอมรับและเข้าใจ ว่าสาเหตุของเสียงดังในหูเกิดจากอะไร และเป็นอันตรายหรือไม่ และจะหายหรือไม่
- ถ้าเสียงดังในหู ไม่รำคาญมากต่อชีวิตประจำวัน และไม่รบกวนการนอนหลับ ไม่จำเป็นต้องรักษา เพียงแต่ทำใจยอมรับ
- ถ้าเสียงดังในหู รบกวนชีวิตประจำวันมาก และรบกวนการนอนหลับ อาจให้ยาเพื่อช่วยลดความรำคาญจากเสียง
- ยาขยายหลอดเลือด เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงหูชั้นในมากขึ้น
- ยาคลายกังวล หรือยานอนหลับ และยาบำรุงประสาทหู
- ยาลดความไวของประสาทหู ทำให้เสียงดังในหูลดน้อยลง
- ใช้เสียงอื่นกลบเสียงดังในหู ที่ทำให้เกิดความรำคาญ (tinnitus masking) เช่น เปิดเพลงเบาๆก่อนนอน อาจช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นบ้าง
- ถ้าเสียงดังในหู เกิดจากประสาทหูเสื่อม ควรป้องกันไม่ให้ประสาทหูเสื่อมมากขึ้น (เพราะถ้าประสาทหูเสื่อมมากขึ้น จะทำให้เสียงดังในหูดังมากขึ้น) โดย
- หลีกเลี่ยงเสียงดัง
- ถ้าเป็นโรคเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเลือดสูง, โรคไต, โรคกรดยูริกในเลือดสูง, โรคซีด, โรคเลือด ควบคุมโรคให้ดี
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู เช่น aspirin, aminoglycoside, quinine
- หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ หรือการกระทบกระเทือนบริเวณหู
- หลีกเลี่ยงการติดเชื้อของหู หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน
- ลดอาหารเค็ม หรือเครื่องดื่มบางประเภทที่มีสารกระตุ้นประสาท เช่น กาแฟ, ชา, เครื่องดื่มน้ำอัดลม (มีสารคาเฟอีน), งดการสูบบุหรี่ (มีสารนิโคติน)
- พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดความเครียด วิตกกังวล โดยเฉพาะเกี่ยวกับเสียงดังในหู เพราะยิ่งกังวลกับเสียงดังในหูมาก เสียงจะยิ่งดังมาก
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ดังนั้นเสียงดังในหู อาจมีสาเหตุจากประสาทหูเสื่อม ซึ่งไม่มีอันตรายร้ายแรงใดๆ เสียงดังกล่าวอาจหายได้เอง หรืออยู่กับผู้ป่วยตลอดชีวิตก็ได้ หรือมีสาเหตุจากโรคที่อันตราย เช่น เนื้องอกของสมอง หรือเส้นประสาท หรือเส้นเลือดแดงโป่งพองก็ได้ ดังนั้นอย่านิ่งนอนใจดีกว่าครับ เมื่อพบเสียงดังในหู ควรปรึกษาแพทย์ หู คอ จมูกเพื่อหาสาเหตุแต่เนิ่นๆ
____________________________________________________________________
Last update: 16 เมษายน 2552